ไมค์อัดเสียง ถือเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน เพราะไม่ได้มีใช้สำหรับการร้องเพลงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่รวมไปถึงในหมู่คนที่สร้างสรรค์ Content ต่าง ๆ บน Social Media อีกด้วยไม่ว่าจะเป็น Facebook หรือ YouTube เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่า ไมค์อัดเสียงแต่ละตัวก็มีคุณภาพและคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างกันไป เช่น ไมค์บางตัวเหมาะกับการใช้งานคนเดียว หรือบางตัวก็สามารถใช้งานร่วมกันหลายคนได้ เป็นต้น
ในบทความนี้ เราจะพาทุกคนไปศึกษาวิธีการเลือกไมค์อัดเสียงกันอย่างละเอียด เพื่อที่จะได้ทราบข้อมูลและรายละเอียดสำคัญในการตัดสินใจซื้อ และเพื่อให้คุณได้ไมค์อัดเสียงที่มีคุณภาพตรงตามวัตถุประสงค์การใช้งานของคุณด้วยครับ นอกจากนี้ เรายังมี 10 อันดับไมค์อัดเสียงรุ่นยอดนิยม ที่สามารถหาซื้อได้ง่ายจากร้านค้าออนไลน์อีกด้วย ถ้าพร้อมแล้ว ไปอ่านกันเลยครับ !
ไมโครโฟนนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ไมโครโฟนไดนามิก (Dynamic Microphone) และไมโครโฟนคอนเดนเซอร์ (Condenser Microphone) โดยไมโครโฟนแบบไดนามิกจะเป็นไมโครโฟนที่มักใช้สำหรับการแสดงสดหรือการร้องที่ไม่ได้ต้องการความชัดเจนของเสียงมากนัก มีความทนทานและใช้งานได้ง่าย นอกจากนี้ ไมโครโฟนประเภทนี้ยังไม่ต้องใช้พลังงานเยอะ ทนต่อความชื้น มีความไวต่อการเกิดเสียงที่ค่อนข้างต่ำ ซึ่งเราจะคุ้นเคยกับไมค์ประเภทนี้ก็คือ ไมค์สำหรับร้องคาราโอเกะนั่นเองครับ
ส่วนไมโครโฟนคอนเดนเซอร์นั้นจำเป็นต้องใช้พลังงานตลอดเวลา เนื่องจากมีความไวเสียงสูง ให้รายละเอียดเสียงที่ดี และรับช่วงความถี่เสียงได้กว้าง โดยไมโครโฟนประเภทนี้จะมีราคาสูงกว่าไมโครโฟนแบบไดนามิก และได้รับความนิยมสูงมากสำหรับการใช้บันทึกเสียงในสตูดิโอ มีคุณสมบัติที่ทนต่อความชื้นและแรงสั่นสะเทือนในระดับที่ค่อนข้างต่ำ ทั้งยังไวต่อการเกิดเสียงสูง นอกจากนี้ ยังมีอีกหลากหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับการใช้งานและบริษัทที่ผลิต ซึ่งไมค์อัดเสียงที่เราจะมาแนะนำในวันนี้ก็คือ ไมโครโฟนประเภทคอนเดนเซอร์ครับ
อย่างที่เราทราบกันดีว่า ไมค์อัดเสียงนั้นมีวางจำหน่ายมากมายตามท้องตลาด ดังนั้น คุณควรศึกษารายละเอียดต่อไปนี้ให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อ เพื่อให้คุณสามารถเลือกไมค์อัดเสียงที่ตรงกับความต้องการสำหรับการใช้งานในระยะยาวได้ครับ
หากคุณต้องการอัดเสียง, ร้องเพลง, แคสเกม หรือทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่ต้องใช้การรับเสียงจากเบื้องหน้า เราขอแนะนำให้เลือกไมค์อัดเสียงแบบรับเสียงทิศทางเดียว (Unidirectional) เพื่อให้การบันทึกเสียงได้โฟกัสไปที่เสียงของคุณโดยตรง ซึ่งจะรับเสียงได้ดีกว่าไมค์แบบอื่น ๆ โดยไมค์แบบรับเสียงทิศทางเดียวนั้นถูกแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
ไมค์อัดเสียงประเภทนี้ เป็นไมค์อัดเสียงที่นิยมใช้กันมากที่สุด เพราะมีความไวต่อเสียงจากด้านหน้าสูงมากและแทบจะไม่รับเสียงรบกวนที่อยู่เบื้องหลังของไมโครโฟนเลย ดังนั้น จึงเป็นไมค์ที่เหมาะในการอัดเสียง ซึ่งผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องไปจดจ่ออยู่กับหน้าไมค์ แต่สามารถเคลื่อนไหวหรือเต้นในขณะอัดเสียงไปด้วยได้เลย ที่สำคัญ ไมค์ประเภทนี้ยังไม่รับเสียงรบกวนจากทางด้านหลัง จึงป้องกันปัญหาการเกิดไมค์หอนได้เป็นอย่างดีครับ
นอกจากนี้ หากต้องการไมค์สำหรับใช้ในการ LIVE คนเดียวหรือแคสเกม โดยเฉพาะแนว FPS ที่ผู้เล่นอาจจะต้องใช้อารมณ์ร่วมในการเล่นที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอด เราก็ขอแนะนำเลือกไมค์อัดเสียงประเภทนี้ด้วยเช่นกันครับ โดยคุณอาจเลือกใช้เป็นแบบไมค์ติดปกเสื้อเพื่อความสะดวกในการใช้งาน เป็นต้น
หากคุณไม่จำเป็นต้องขยับตัวหรือเคลื่อนที่ไปด้วยในขณะอัดเสียง และต้องการเสียงร้องที่มีคุณภาพชัดเจน เราขอแนะนำให้ใช้ไมค์อัดเสียงประเภท Super Cardioid ซึ่งจะมีการรับเสียงจากข้างหน้าในมุมที่แคบกว่าประเภทคาร์ดิออยด์ปกติ ทำให้ช่วยป้องกันเสียงจากรอบข้างได้ดีกว่ามาก และรับเสียงแทรกจากด้านหลังได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น รวมถึงป้องกันปัญหาไมค์หอนได้ดี จึงสามารถอัดเสียงได้อย่างลื่นไหลกว่า แถมยังปรับเพิ่มความดังของเสียงในการอัดได้สะดวกมากกว่าด้วยครับ
หากคุณต้องใช้ไมโครโฟนเพื่ออัดเสียงท่ามกลางลำโพงขนาดใหญ่หรือในพื้นที่กว้าง เช่น การแสดงคอนเสิร์ตหรือหอประชุม เราขอแนะนำให้คุณใช้ไมค์อัดเสียงแบบ Hyper Cardioid ที่มีองศาในการรับเสียงแคบกว่าแบบ Super Cardioid ทำให้ช่วยป้องกันเสียงจากรอบข้างไม่ให้มารวมกับเสียงร้องของคุณได้ ดังนั้น คุณจึงสามารถอัดเสียงได้อย่างมีคุณภาพและชัดเจน โดยที่เสียงร้องไม่จมไปกับเสียงรอบข้างครับ
เนื่องจากไมค์ประเภทนี้ สามารถรับเสียงและตอบสนองต่อความถี่ของเสียงได้กว้างที่สุด เมื่อเทียบกับไมค์ประเภทรับเสียงทิศทางเดียวประเภทอื่น ทำให้เมื่อคุณเข้าใกล้ไมค์อัดเสียงมาก ๆ จะไม่ทำให้เสียงความถี่ต่ำดังมากขึ้น (Proximity Effect) คุณจึงสามารถอัดเสียงร้องไปพร้อม ๆ กับเสียงดนตรีประเภท Acoustic ได้อย่างง่ายดาย
ไมค์อัดเสียงแบบรับเสียง 2 ทิศทาง (Bi-Directional) นั้น จะมีองศาการรับเสียงจาก 2 ทิศทาง คือ ด้านหน้าและด้านหลังของไมโครโฟนแบบระยะแคบ ซึ่งหมายความว่า ไมค์ประเภทนี้จะสามารถรับเสียงที่อยู่ใกล้ได้ดีกว่าเสียงที่อยู่ไกล จึงมักถูกนำไปใช้งานในระบบการจดจำเสียงของคอมพิวเตอร์ (PC Voice Recognition System) และระบบนำทางในรถยนต์ (Car Navigation System) โดยแบบที่นิยมสูงสุด คือ การนำไปใช้ในการอัดเสียงสนทนาระหว่างคน 2 คน เช่น การสัมภาษณ์หรือการจัดรายการร่วมระหว่างพิธีกร เป็นต้น
ไมค์อัดเสียงแบบรอบทิศทาง (Omni-Directional) นั้น จะรับเสียงได้จากทิศทางรอบ ๆ ไมโครโฟน ดังนั้น จึงเหมาะในการอัดเสียงจากคนหลาย ๆ คนพร้อมกัน เช่น การใช้งานตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป หรือการประชุมพร้อมกันในลักษณะที่ทุกคนนั่งล้อมรอบกัน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ไมค์ประเภทนี้ไม่เหมาะกับการนำไปใช้ในการแสดงสดทุกประเภท เพราะมีโอกาสเกิดปัญหาไมค์หอนได้ง่าย จึงเหมาะที่จะใช้ใน สภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างเงียบ อย่างในห้องประชุมมากกว่านั่นเองครับ
ถึงแม้ว่าเราแทบจะไม่ทราบถึงคุณภาพของเสียงที่อัดจากไมค์ได้เลยจนกว่าจะได้ลองอัดจริง แต่ก็ยังสามารถตรวจสอบปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพในการอัดเสียงได้ โดยการดูจากค่าความไวในการรับเสียง (Sensitivity) และการตอบสนองความถี่เสียง (Frequency Response) ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ความไวในการรับเสียงของไมโครโฟนจะแสดงค่าเป็น dB หรือเดซิเบล (Decibel) โดยไมค์อัดเสียงประเภทคอนเดนเซอร์ส่วนใหญ่นั้นจะมีค่า dB เริ่มตั้งแต่ -30 ถึง -40 dB และหากมีค่าเข้าใกล้ 0 มากเท่าไร ยิ่งแสดงว่าไมค์อัดเสียงตัวนั้นมีความไวในการรับเสียงที่มากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
คุณควรเลือกไมค์อัดเสียงที่มีย่านความถี่ในการรับเสียงตรงกับเสียงที่ต้องการจะอัด เพราะความถี่ของเสียงจะสะท้อนถึงช่วงเสียงที่ไมค์จะอัดได้ดีที่สุด โดยหากดูในกราฟ กราฟจะพลอตค่าความไวในการรับเสียงเป็นแนวตั้ง และพลอตย่านความถี่เสียงในแนวนอน ซึ่งเราสามารถใช้กราฟนี้เป็นเกณฑ์ในการวัดได้ครับ
เมื่อย่านความถี่ต่ำ ความไวในการรับเสียงจะสูงขึ้นและกราฟด้านซ้ายก็จะพุ่งขึ้นกลายเป็นรูปทรงเหมือนภูเขา ซึ่งเสียงที่ได้จะให้ความรู้สึกอบอุ่นด้วยเสียงเบสที่เน้นกว่าปกติ ส่วนในด้านที่ราบเรียบ ไม่มีคลื่นบนกราฟ นั่นคือแถบที่แสดงถึงความพร้อมของไมค์ที่จะอัดเสียงใหม่ โดยถ้าคุณต้องการอัดเสียงเครื่องดนตรีด้วย ก็สามารถใช้กราฟดังกล่าวในการอ้างอิงได้เช่นกัน ซึ่งจะทำให้คุณสามารถหาย่านความถี่เสียงที่เข้ากับเครื่องดนตรีที่คุณจะใช้ร่วมด้วยได้ไม่ยากเลยล่ะครับ
ไมโครโฟนคอนเดนเซอร์ส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์โดยตรง (ยกเว้นบางรุ่นที่มีเครื่องหมายกำกับว่าสามารถต่อกับ PC ได้) ดังนั้น เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว เราจึงจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ Audio Interface ของเสียง ที่ทำหน้าที่แปลงและส่งเสียงที่อัดเข้าสู่คอมพิวเตอร์ ซึ่งถ้าคุณมีตัวเครื่องอยู่แล้ว ก็สามารถหาซื้อไมค์อัดเสียงที่เข้ากันได้กับเครื่อง Audio Interface นั้นได้เลยครับ
โดยความเข้ากันของไมค์อัดเสียงกับเครื่อง Audio Interface นั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะต่อให้ไมค์ของคุณจะอัดเสียงได้ดีแค่ไหน แต่หาก Audio Interface ที่เป็นตัวแปลงเสียงไม่ดีหรือมีสเปกที่ต่ำกว่าประสิทธิภาพของไมค์ ก็จะทำให้ผลงานออกมาไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้น เราแนะนำให้ลองเปรียบเทียบราคาไมค์กับอุปกรณ์ Audio Interface เพราะถ้ามีราคาใกล้เคียงกัน แสดงว่าสามารถใช้งานร่วมกันได้ในระดับหนึ่งครับ
เป็นอย่างไรบ้างครับกับเคล็ดลับวิธีการเลือกไมค์อัดเสียงที่เรานำมาฝากกัน ซึ่งนอกจากที่กล่าวไปแล้ว เรายังมีรายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ สำหรับการเลือกซื้อไมค์ให้เหมาะสมกับการใช้งานเฉพาะทาง เช่น ไมค์สำหรับเคสเกม, ไมค์คาราโอเกะ, และไมค์ติดกล้อง DSLR มาให้เพื่อน ๆ ได้ติดตามกันเพิ่มเติมด้วย แต่จะมีหลักการสำคัญอย่างไรบ้างนั้น กดเข้าไปชมได้ในบทความด้านล่างนี้เลย
สำหรับไมค์อัดเสียงทั้ง 10 อันดับต่อไปนี้ เป็นไมค์ที่เราตั้งใจคัดสรรมาอย่างดี เพื่อให้ผู้อ่านทุกคนได้สินค้าที่มีคุณภาพ แถมยังหาซื้อได้ง่ายจากร้านค้าออนไลน์อีกด้วย หากคุณพร้อมแล้ว ก็ไปดูกันเลยครับ
หากคุณกำลังมองหาไมค์อัดเสียงที่พกพาง่าย คุณต้องไม่พลาดกับไมค์อัดเสียงรุ่นนี้ครับ ด้วยการออกแบบให้มีขนาดเล็กกะทัดรัด สามารถนำมาติดกับเสื้อได้โดยไม่เกะกะ แถมยังมีสายไมค์ที่ยาวถึง 6 เมตร ทำให้สะดวกในการใช้งาน โดยสามารถเคลื่อนตัวไปยังจุดอื่นได้ง่ายขณะอัดเสียง และยังมีฟองน้ำที่ช่วยลดเสียงรบกวนอีกด้วย นอกจากนี้ ยังเป็นไมค์ที่เหมาะสำหรับงานประเภทวิดีโอมาก ๆ ใช้ได้ทั้งบน PC และสมาร์ทโฟน แต่มีข้อควรระวัง คือ หากไกลจากแหล่งกำเนิดเสียงมากก็อาจได้ยินเบาลงเล็กน้อยครับ
ไมค์อัดเสียงรุ่นนี้ มีจุดเด่นในเรื่องของระบบการรับเสียง 2 ทิศทางที่สามารถปรับแต่งได้อย่างง่ายดายผ่านสวิตช์บนตัวไมค์ โดยสามารถปรับให้รับเสียงเฉพาะด้านหน้า-ด้านหลัง หรือรับพร้อมกันจากทั้ง 2 ด้านก็ได้ นอกจากนี้ ยังมีช่องสำหรับเสียบหูฟังเพื่อรับฟังเสียงที่อัดเข้ามาได้แบบเรียลไทม์ เพื่อช่วยให้คุณมั่นใจว่าเสียงที่อัดได้จะมีคุณภาพที่ดีเยี่ยม ชัดเจนทุกรายละเอียด อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อกับมือถือได้ง่ายมากด้วยครับ และที่สำคัญคือ สามารถเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน iRig Recorder 3 LE เพื่อปรับแต่งเสียงได้ด้วยครับ
ไมค์รุ่นนี้ตอบโจทย์คนที่กำลังมีแพลนทำรายการที่มีพิธีกร 2 คน หรือต้องการทำรายการสัมภาษณ์อย่างแน่นอน เพราะเป็นไมค์อัดเสียงที่ได้รับการออกแบบให้มีหัวไมค์ 2 ตัว แยกออกเป็น 2 สาย จากหัวเสียบ 1 อัน โดยสายเคเบิลนี้มีความยาวมากถึง 4 เมตร ช่วยให้ผู้สัมภาษณ์และผู้ถูกสัมภาษณ์สามารถใช้งานได้อย่างสะดวก โดยที่ไม่ต้องนั่งใกล้กันจนเกินไป อีกทั้งยังเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ได้ง่ายด้วยหัวเสียบ 3.5 mm รับรองว่าอัดเสียงได้แบบสบาย ๆ ตลอดการใช้งานอย่างแน่นอนครับ
สำหรับนักดนตรีหรือนักร้องที่กำลังมองหาไมค์อัดเสียงพร้อมใช้งาน ขอบอกว่าไมค์รุ่นนี้อาจตอบโจทย์มาก ๆ ครับ เพราะจัดเต็มไปด้วยคุณภาพ โดยเฉพาะชุดเซตติดตั้งครบชุด ที่มีความแข็งแรงทนทาน หมุนหรือปรับองศาตามต้องการได้อย่างง่ายดาย แถมยังมีตัวกรองแบบ Dual-Layers ที่ช่วยให้กรองเสียงที่รับมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ Double-braced Arms ที่แข็งแรงทนทาน ทั้งยังพับเก็บได้ง่าย เหมาะสำหรับใช้งานในสตูดิโอสุด ๆ ทั้งครบครันและคุ้มค่าแบบนี้คุณต้องไม่พลาดครับ
สำหรับคนชอบ Live หรือแคสเกม ขอแนะนำไมค์อัดเสียงของแบรนด์ดังที่คอเกมหลายคนคุ้นเคยเป็นอย่างดี ซึ่งไมค์รุ่นนี้มีจุดเด่นในเรื่องของโหมดไฟที่มีมากถึง 15 โหมด ให้คุณปรับแต่งสีได้ตามสไตล์ของตัวเอง ตัวไมค์ยังเป็นประเภทการรับเสียงรอบทิศทาง สามารถรับเสียงได้ดี ทำให้ในขณะพูดไม่จำเป็นต้องเอาไมค์จ่อไว้ที่ปากอยู่ตลอดเวลา แถมยังมีปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงที่ตัวไมค์ โดยที่คุณสามารถปรับระดับความดังได้ตามต้องการ ช่วยให้ใช้งานได้ง่ายและสะดวกอย่างมากครับ
ด้วยดีไซน์ที่ทันสมัยและแปลกตา จึงไม่น่าแปลกใจหากไมค์อัดเสียงรุ่นนี้เป็นที่สะดุดตาของใครหลาย ๆ คน ซึ่งตัวไมค์รับเสียงจะมีลักษณะเป็นมรงกลม มาพร้อมกับฐานตั้งอะลูมิเนียมอย่างดี และมีให้เลือกใช้งานถึง 3 โหมด ที่ช่วยปรับให้เข้ากับทั้งเสียงร้อง เครื่องดนตรี และเสียงพูดได้ดี แถมยังมีระบบที่ช่วยปรับค่าต่าง ๆ เช่น Gain, EQ, Compression และ Limiting ให้เหมาะสมกับการใช้งานได้อัตโนมัติ อีกทั้งยังเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์และมือถือระบบ Android และ iOS ได้ง่ายดายอีกด้วย
ถือเป็นไมค์อัดเสียงที่คุณสมบัติครบครันมาก ๆ ครับ เพราะนอกจากประสิทธิภาพการอัดเสียงทั้งเสียงต่ำและสูงได้แล้ว ยังมาพร้อมอุปกรณ์เสริมครบชุด เช่น แป้นกรองเสียงที่ช่วยป้องกันเสียงแทรกได้ดี และขาปรับระดับที่ช่วยให้ติดตั้งและปรับองศาในการใช้งานได้ง่าย อีกทั้งยังเหมาะกับสำหรับมือใหม่ที่ต้องการสร้าง Content ออนไลน์ เพราะเชื่อมต่อได้ง่ายกับคอมพิวเตอร์ทั้งระบบ Windows และ Mac OS นั่นเอง ทำให้ไม่ว่าใครก็สามารถใช้งานได้ครับ
หากคุณกำลังมองหาไมค์อัดเสียงขนาดเล็ก ไว้ใช้งานคู่กับสมาร็ทโฟนล่ะก็ ไมค์อัดเสียงรุ่นนี้ช่วยคุณได้ครับ ด้วยการดีไซน์ตัวไมค์ให้มีขนาดเล็กกะทัดรัด พกพาได้สะดวก และยังสามารถเชื่อมต่อกับมือถือได้ง่าย เพียงแค่เสียบหัวแจ็คขนาด 3.5 mm เข้าที่ช่องหูฟังของสมาร์ทโฟนเท่านั้น นอกจากนี้ ยังสามารถปรับทิศทางของหัวไมค์ได้ ช่วยให้รับเสียงได้หลายมุมมากขึ้น แถมยังไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ในการใช้งานอีกด้วย ที่สำคัญ อัดเสียงได้หลายย่านความถี่ด้วยครับ
ไมค์อีกรุ่นที่ตอบโจทย์สำหรับการประชุม ด้วยฟังก์ชันการรับเสียงจากรอบทิศทางในระยะกว้าง และความสามารถในการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ได้โดยตรงด้วยสาย USB แถมยังมีปุ่มกดเพียงปุ่มเดียว สำหรับเปิด-ปิดการรับเสียงของไมค์ ช่วยลดความยุ่งยากในการใช้งานได้ดี นอกจากนี้ ยังมีซิลิโคนที่ช่วยลดเสียงรบกวน อย่างเช่น เสียงร้องของเด็ก ทำให้แม้ว่าคุณจะต้องประชุมทางไกลจากที่บ้านก็ไม่มีปัญหา และยังแข็งแรง ทนทาน ด้วยวัสดุโลหะอย่างดีที่ใช้ในการผลิต จึงสามารถใช้งานได้ยาว ๆ อย่างคุ้มค่าครับ
ไมโครโฟนรุ่นนี้ ถูกออกแบบมาให้รับเสียงได้รอบทิศทางในรัศมี 3 เมตร ทำให้รับเสียงได้ชัดเจนพร้อมกันหลายคน แถมยังมีปุ่มกดสำหรับปิดเสียงในกรณีพักการประชุม หรือคุยเนื้อหาภายในระหว่างสนทนาด้วย ซึ่งถือว่าเหมาะมากสำหรับการประชุมและการคุยธุรกิจกับลูกค้า นอกจากประสิทธิภาพในการรับเสียงที่ทั้งดีและมีระยะกว้างขวางแล้ว ไมค์อัดเสียงรุ่นนี้ยังสามารถเปิดใช้งานผ่านคอมพิวเตอร์ได้ง่ายเพียงเชื่อมต่อกับสาย USB อีกด้วยครับ
ไมค์อัดเสียงเป็นอุปกรณ์ที่บอบบางและแตกหักง่าย คุณจึงควรใช้งานด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งก็มีข้อควรระวังในการใช้งาน ดังต่อไปนี้
ไมโครโฟนคอนเดนเซอร์นั้นมีลักษณะค่อนข้างบอบบาง เพราะมีโครงสร้างและอุปกรณ์ภายในชิ้นเล็กสำหรับการรับเสียงหลายชิ้น ดังนั้น คุณจะต้องระมัดระวังอย่างมากในขณะที่ใช้งาน พกพา หรือเก็บรักษา
เพื่อเพิ่มความสบายใจ เราขอแนะนำให้คุณใส่เคสหรือกล่องเก็บไมค์ให้ดีเมื่อคุณจะเคลื่อนย้ายไมค์ รวมไปถึงคอยระมัดระวังการกระแทกและสั่นสะเทือนในขณะวางบนโต๊ะหรือพื้นให้ดีด้วย โดยให้คิดไว้เสมอว่า หากมีการกระแทกแม้แต่นิดเดียว ก็อาจจะทำให้ไมค์โครโฟนเสียหายได้
ความชื้นเป็นตัวการสำคัญที่ส่งผลเสียต่อไมค์อัดเสียงไม่แพ้การสั่นสะเทือนหรือการกระแทก โดยทั่วไปเมื่อซื้อไมค์อัดเสียงมานั้น ในกล่องผลิตภัณฑ์มักจะมีซองกันชื้นติดมาด้วยเสมอ เพื่อการดูแลรักษาไมค์ที่ดี คุณควรใส่ซองกันชื้นดังกล่าวไว้ในกล่องทุกครั้งที่จัดเก็บไมค์อัดเสียงครับ
นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการนำน้ำเข้าไปดื่มในห้องอัดเสียง เพราะคุณอาจจะเผลอทำน้ำหกในห้อง และเมื่อห้องเกิดความอับชื้น คุณภาพในการอัดเสียงก็จะลดลง เสียงที่อัดอาจจะไม่ชัดเจนหรือมีคุณภาพที่ดีพอ ดังนั้น พยายามระวังไม่ให้ห้องอัดเกิดความชื้น เพื่อรักษาเสียงให้มีคุณภาพตามมาตรฐานครับ
เพื่อการใช้งานอย่างราบรื่น คุณควรทำการติดตั้งไมค์อัดเสียงให้ถูกต้องตามลำดับขั้นตอนต่อไปนี้
1. ตรวจสอบค่า Pre-Amp ของไมค์ให้มีค่า 0 หรือดู Phantom Power ว่าปิดอยู่หรือไม่
2. ติดตั้ง Shock Mount หรือตัวที่ใช้ติดกับขาไมค์เพื่อลดแรงสั่นสะเทือนของไมค์
3. เสียบสายเคเบิลให้เรียบร้อย
4. เปิด Phantom Power และปรับค่าต่าง ๆ ตามต้องการ
นอกจากนี้ อย่าลืมตรวจสอบสายเคเบิลว่าเสียบได้สนิทดีหรือไม่ ก่อนจะเปิด Phantom Power ทุกครั้ง โดยอย่าลืมว่าหากคุณเชื่อมต่อสายเคเบิลหลังจากเปิดตัวจ่ายพลังงานแล้ว บางครั้งอาจส่งผลให้ไมค์อัดเสียงขัดข้องหรือเสียได้ และหลังจากที่ใช้งานเสร็จแล้ว ควรจัดเก็บอุปกรณ์ให้เข้าที่อย่างเป็นระเบียบด้วยนะครับ
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับบทความเรื่องไมค์อัดเสียงที่เราได้นำมาเสนอกันในวันนี้ จะเห็นได้ว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในการที่จะเลือกซื้อไมค์อัดเสียงสักตัว เพราะมีวิธีการเลือกที่คุณต้องพิจารณาให้ดีหลายขั้นตอนก่อนซื้อ เช่น เรื่องความไวในการรับเสียง, ทิศทางของการรับเสียง, จุดประสงค์ของการใช้ไมค์อัดเสียง เป็นต้น ซึ่งเราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณสามารถเลือกไมค์อัดเสียงที่ได้คุณภาพและตรงตามที่คุณต้องการ เพื่อไปใช้ในการอัดเสียง การ LIVE หรือการทำ Content ในสื่อออนไลน์ของคุณให้เป็นเรื่องง่ายขึ้นนะครับ